ญาติเหยื่ออุบัติเหตุหมู่ 6 ศพปิดท้ายสงกรานต์ รวมตัวขอค่าสินไหมเพิ่มรายละ 700,000 บาท

DSC_0130

สระแก้ว – ญาติเหยื่ออุบัติเหตุหมู่ 6 ศพ-ผู้บาดเจ็บ เทศกาลปิดท้ายสงกรานต์สระแก้ว ยื่นขอสินไหมทดแทนจากบริษัทประกันฯเพิ่มอีกรายละ 700,000 บาท และคนขับอีกรายละ 300,000 บาท ด้านตัวแทนบริษัทประกันภัยรับเรื่อง เพื่อส่งให้ส่วนกลางพิจารณา ด้านญาติคนขับเสนอเยียวยา 20,000 บาท แต่ญาติคนตายไม่ยอมรับ

เมื่อเวลา 11.00 น.วันที่ 26 พ.ค.61 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ร.ต.อ.ยศ ชาสมบัติ รอง สว.สอบสวน สภ.วังน้ำเย็น อ.วังน้ำเย็น จ.สระแก้ว และร้อยเวรเจ้าของคดี อุบัติเหตุหมู่รถปิกอัพพลิกคว่ำส่งท้ายเทศกาลสงกรานต์ บนถนนสาย 317 ด้านหน้าโชว์รูมอีซูซุ พื้นที่ ม.5 ต.วังน้ำเย็น อ.วังน้ำเย็น จ.สระแก้ว จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 6 ศพ บาดเจ็บสาหัส 3 ราย เมื่อค่ำวันที่ 19 เม.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งมีญาติของผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าวประมาณ 20 คน เดินทางมาเจรจากับ นายวรเชษฐ์ ศรีพลกรัง ตัวแทนบริษัทธนชาติประกันภัย จำกัด(มหาชน) , เจ้าของรถยนต์ปิกอัพ ทะเบียน บต-5959 สระแก้ว ,และพ่อแม่ของเยาวชนผู้ขับรถยนต์คันเกิดเหตุ ซึ่งเบื้องต้น ญาติของผู้เสียชีวิตขอให้ทางบริษัทประกันภัย จ่ายค่าสินไหมทดแทนกรณีเสียชีวิตเพิ่มเติมอีกรายละ 700,000 บาท เนื่องจากเจ้าของรถได้ทำประกันภัย กรณีการเสียชีวิตจะได้รับค่าสินไหมสูงสูดถึงรายละไม่เกิน 1,000,000 บาท แต่ที่ผ่านมาบริษัทประกันจ่ายให้เพียงรายละ 300,000 บาทเท่านั้น ซึ่งไม่รวมประกัน พรบ.อีกรายละ 300,000 บาทที่จ่ายไปแล้วก่อนหน้านี้

นางนภัสวรรณ บัณฑิตย์ อายุ 42 ปี อาของผู้เสียชีวิต นายศิวกร บัณฑิตย์ อยู่บ้านเลขที่ 126/262 ม.7 ซ.9 หมู่บ้านอีสเทรินแลนด์เฮ้าส์ 2 ต.สุรศักดิ์ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี กล่าวว่า พวกเราต้องการให้ทายาทผู้เสียชีวิตได้รับเพราะว่า มันเป็นเงินเยียวยาและเป็นเงื่อนไขในกรรมธรรม์ที่ทุกคนไม่รู้ว่าจะได้อีก 7 แสนหรือ 3 แสน เราจึงต้องการดึงผลประโยชน์ส่วนนี้มาให้ทุกคน เพราะข้อตกลงจ่ายให้ได้สูงสุด เพื่อชดเชยประคองจิตใจกับทางญาติผู้เสียชีวิต และคนที่เสียชีวิตเป็นหลานตน ไม่ใช่หมาพันธุ์พุดเดิลราคา 2 หมื่น จึงต้องเข้ามาดำเนินการเรียกร้อง หากได้อีก 7 แสน กับเงิน 3 แสนที่ได้ไปแล้วเป็น 1 ล้านบาท มีค่าสำหรับคนที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่หากเขายังอยู่เงิน 7 แสนไม่ยากเลยที่เขาจะหาได้

นางนภัสวรรณ กล่าวอีกว่า เพราะฉะนั้น เงิน 1 ล้านบาทเทียบไม่ได้เลยกับชีวิตเด็กคนนี้ เขาเป็นเด็กดีศรีสระแก้ว ถ้าหากเขามีชีวิตอยู่ เงิน 1 ล้านบาทเขาทำได้ไม่ยาก ถ้าคนที่มีลักษณะความเป็นพ่อคนต้องลองมาสูญเสียดูบ้าง ไม่ใช่มาปะทะมาข่มขู่กันด้วยคำพูด ไม่ชอบ การไกล่เกลี่ยต้องมาประคับประคอง มีน้ำใจ การทำใจไม่ได้ทำกันง่าย ๆ

นายสมบัติ ใจแสน อายุ 71 ปี ตาของ นายธีรศักดิ์ หาเจริญ ผู้เสียชีวิต กล่าวว่า  บางอย่างมันไม่อยากจะพูด เพราะมันจบไปแล้ว อยากให้ดำเนินการตามกระบวนการให้มันจบไปซะ ทุกคนมันจะได้หายท้อแท้ ทุกวันนี้อยู่บ้านกันก็เห็นแต่ภาพเดิม ๆ มันจบไปแล้วก็ต้องมาวิ่งปะทะกันอีก ถ้าตนเองให้เงิน 600,000-700,000 บาทคืนให้ไปและยกบ้านราคา 1 ล้านกว่าบาทให้ไปอีกด้วยเลย แล้วเอาชีวิตหลานชายผมกลับคืนมา ทำได้ไหมล่ะ อะไรที่มันจบได้ก็อยากให้จบไม่ต้องไปปะทะกัน

ทางด้าน นายวรเชษฐ์ ศรีพลกรัง ตัวแทนบริษัทธนชาติประกันภัย จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า ทางตนจะรับข้อเสนอของทายาทผู้เสียชีวิต ซึ่งขอรับเงินค่าสินไหมชดเชยเพิ่มอีกรายละ 700,000 บาท ที่กรมธรรม์ระบุว่าจ่ายสำหรับผู้เสียชีวิตรายละไม่เกิน 1 ล้านบาทนั้น ไปเสนอให้กับทางบริษัทพิจารณา ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการจ่ายค่าสินไหมไปแล้วรวมรายละประมาณ 333,333 บาท ไม่รวม พรบ. และจะนำผลการพิจารณามาแจ้งให้ทราบอีกครั้ง โดยนัดแจ้งผลการพิจารณาที่ สภ.วังน้ำเย็นในวันที่ 15 มิ.ย.61 นี้ ส่วนอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวกับประกันภัย เช่น ญาติขอให้มีการชดเชยเยียวยาทายาทสำหรับผู้เสียชีวิต จากผู้ขับขี่ ศพละ 300,000 บาท และผู้บาดเจ็บรายละ 200,000 บาทนั้น อยู่ที่การเจรจาและพิจารณาโดยมีพนักงานสอบสวนเป็นตัวกลาง

อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับพ่อแม่ของผู้ขับรถยนต์คันดังกล่าว ได้เสนอกับพนักงานสอบสวนว่า จะมีการจ่ายช่วยเหลือเยียวยาให้กับญาติผู้เสียชีวิตรายละ 20,000 บาท โดยไม่เกี่ยวข้องกับประกันภัย ซึ่งญาติของผู้เสียชีวิตทั้งหมดไม่ตกลงยินยอมรับเงินช่วยเหลือดังกล่าว เนื่องจากเป็นเงินที่น้อยเกินไป เพราะเรียกร้องไปถึงรายละ 300,000 บาท พนักงานสอบสวนจึงได้ทำบันทึกไว้เป็นหลักฐาน ทั้งนี้ สำหรับความคืบหน้าของคดีนี้ พนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหาผู้ขับขี่แล้ว อยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมดก่อนส่งฟ้อง รวมถึงการจ่ายชดเชยเยียวยาด้วย
———————————

ปั่นจักรยานท่องเที่ยว 9 เส้นทางแห่งการปั่นสระแก้ว

Untitled-2

สระแก้ว – กิจกรรมปั่นจักรยานท่องเที่ยว 9 เส้นทางแห่งการปั่น สนามที่ 1 ระยะทาง 36 กม. เริ่มแล้ว เพื่อการท่องเที่ยวเชิงกีฬา โดยจัดขึ้นทุกอำเภอทั้ง 9 อำเภอของจังหวัดสระแก้ว 

เมื่อวันที่ 20 พ.ค.61 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่วิทยาลัยโพธิวิชชาลัย อำเภอวัฒนานคร จังหวัดสระแก้ว นายภูสิต  สมจิตต์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว ร่วมกิจกรรมปั่นจักรยานเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวจังหวัดสระแก้ว พร้อมด้วย ชมรมจักรยานในจังหวัดสระแก้วและผู้ที่รักการปั่นจักรยาน ซึ่งจัดเป็นสนามที่ 1 อำเภอวัฒนานคร จังหวัดสระแก้ว ระยะทาง 36 กิโลเมตร โดยเริ่มต้นจากวิทยาลัยโพธิวิชชาลัย ผ่านอ่างเก็บน้ำช่องกุ่มและอ่างเก็บน้ำพระปรง และจบการปั่นที่วิทยาลัยโพธิวิชชาลัย ระยะทาง 36 กิโลเมตร

ทั้งนี้ กิจกรรมดังกล่าว สำนักงานท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดสระแก้ว จัดขึ้นเพื่อเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงกีฬา ซึ่งจะมีการจัดกิจกรรมขึ้นทุกอำเภอทั้ง 9 อำเภอในจังหวัดสระแก้ว ส่วนในเส้นทางที่ 2 เริ่มวันที่ 10 มิถุนายน 2561 ที่อำเภอเขาฉกรรจ์ จากวัดถ้ำเขาฉกรรจ์ เขาจาน เขาสามสิบ (เฉพาะเสือภูเขา) ระยะทาง 38 กม. โดย 500 ท่านแรกที่เข้าเส้นชัย จะได้รับเหรียญรางวัลแบบจิ๊กซอว์ แต่ละอำเภอที่ร่วมปั่นลักษณะของเหรียญรางวัลจะเป็นรูปแผนที่ของแต่ละอำเภอ ซึ่งเมื่อนักปั่นร่วมกิจกรรมครบทั้ง 9 อำเภอ จะสามารถนำเหรียญรางวัลมาต่อกัน ได้เป็นรูปแผนที่ของจังหวัดสระแก้วด้วย

อย่างไรก็ตาม สำหรับเส้นทางการปั่นของแต่ละอำเภอมีรายละเอียดดังนี้ ในเส้นทางที่ 3 วันที่ 24 มิถุนายน 2561 อำเภอเมืองสระแก้ว อช.ปางสีดา โรงสีพระราชทาน อ่างเก็บน้ำท่ากะบาก ระยะทาง 45 กม. เส้นทางที่ 4 วันที่ 15 กรกฎาคม 2561 อำเภอวังน้ำเย็น วัดเขาปากแก้ว ทุ่งมหาเจริญ ระยะทาง 32 กม. เส้นทางที่ 5 วันที่ 29 กรกฎาคม 2561 อำเภอคลองหาด ทับทิมสยาม 05 ระยะทาง 56 กม.เส้นทางที่ 6 วันที่ 5 สิงหาคม 2561 อำเภอวังสมบูรณ์ อ่างเก็บน้ำคลองพระสะทึง เขาลาน ระยะทาง 31 กม.เส้นทางที่ 7 วันที่ 19 สิงหาคม 2561 อำเภอตาพระยา อ่างห้วยยาง ละลุ (เฉพาะเสือภูเขา) ระยะทาง 35 กม.เส้นทางที่ 8 วันที่ 2 กันยายน 2561 อำเภอโคกสูง สด๊กก็อกธม ระยะทาง 30 กม. เส้นทางที่ 9 วันที่ 9 กันยายน 2561 อำเภออรัญประเทศ ร.ร.วัดชนะชัยศรี(วัดเกาะ) เขาน้อยสีชมพู บ้านหนองเอี่ยน ระยะทาง 31 กม. ผู้ที่สนใจ สามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ สำนักงานท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดสระแก้ว 037-425031 หรือ ชมรมจักรยานจังหวัดสระแก้ว 081-7629557,090-9830099 หรือ 086-8273772

Untitled-5

พายุฤดูร้อนถล่ม ต้นไทรอายุ 70 ปี ล้มทับบ้านพังทั้งหลัง

Untitled-7

สระแก้ว – พายุฤดูร้อนถล่มพื้นที่เทศบาลวังน้ำเย็น ต้นไทรขนาดใหญ่อายุกว่า 70 ปี ล้มทับบ้านซึ่งอยู่ในพื้นที่โรงแรมมิตรเสรีพังเสียหาย โชคดีไม่มีคนอยู่ในบ้าน ส่วนแม่ค้าในโรงเรียนลมพายุพัดตู้น้ำหยอดเหรียญล้มทับบาดเจ็บ ถนนหลายจุดต้นไม้หักโค่นล้มทับขวางถนน

เมื่อเวลา 15.00 น.วันที่ 14 พ.ค.61 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พื้นที่ อ.วังน้ำเย็น จ.สระแก้ว โดยเฉพาะเขตเทศบาลเมืองวังน้ำเย็น ได้เกิดพายุฤดูร้อนและฝนตกลงมาอย่างหนัก ซึ่งบางพื้นที่มีลูกเห็บตก ส่งผลให้หลายพื้นที่ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะบ้านเลขที่ 254/1 ม.1 ต.วังน้ำเย็น ภายในโรงแรมมิตรเสรี ต้นไทรขนาดใหญ่อายุกว่า 70 ปี ได้ล้มทับบ้านได้รับความเสียหาย สายไฟและตัวบ้านหลังดังกล่าวยังถูกต้นไม้ทับอยู่ ซึ่งเจ้าของบ้านใช้ทำเป็นที่เก็บของและพระพุทธรูป ขณะเกิดเหตุไม่มีผู้ใดอยู่บริเวณดังกล่าว ส่วนบ้านข้างเคียงกำแพงและหลังคายุบลงไป ได้รับความเสียหายเล็กน้อย

นางฉลวย อยู่เอี่ยม อายุ 59 ปี อยู่บ้านเลขที่ 254/1 ม.1 ต.วังน้ำเย็น อ.วังน้ำเย็น จ.สระแก้ว ผู้ดูแลโรงแรมดังกล่าว กล่าวว่า ต้นไทรต้นนี้อายุ 60-70 ปี ตั้งแต่ก่อนที่จะเข้ามาเช่าพื้นที่นี้เสียอีก เจ้าของเสียชีวิตไป 3 รุ่นแล้ว เนื่องจากมีทั้งลมและฝน ทำให้ต้นไทรที่อยู่ตรงนี้เกิดโค่นล้มลงมาทับบ้านได้รับความเสียหาย ซึ่งช่วงเกิดเหตุไม่มีคนอยู่ภายในบ้าน ส่วนใหญ่ใหญ่จะอยู่อีกหลัง จะใช้เป็นห้องเก็บของและพระพุทธรูปไว้ในนั้น ซึ่งได้แจ้งให้กับเจ้าหน้าที่เทศบาลเข้ามาสำรวจความเสียหายเรียบร้อยแล้ว

ทางด้าน นายวันชัย นารีรักษ์ นายกเทศบาลเมืองวังน้ำเย็น กล่าวว่า เนื่องจากฝนตกหนักและมีลมแรง ส่งผลให้หลายจุดในพื้นที่ได้รับความเสียหาย ซึ่งจุดที่เสียหายมากที่สุดคือ บ้าน 1 หลัง ในโรงแรมมิตรเสรี กระเบื้องหลังคาบ้านทั้งหลังประมาณ 400 แผ่น เสียหายทั้งหมด ส่วนต้นไม้ขนาดใหญ่ที่ล้มทับต้องมีการจ้างคนมาตัดออกให้เหลือแต่ต่อ ก่อนจะนำรถเครนมายกออกไป ซึ่งเจ้าหน้าที่เข้าไปสำรวจความเสียหายแล้ว ส่วนพื้นที่อื่น ๆ มีต้นไม้ขนาดใหญ่หักโค่นล้มทับขวางถนนในพื้นที่หลายจุด ซึ่งเทศบาลฯได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปตัดและเครียร์พื้นที่แล้ว ส่วนภายในโรงเรียนเทศบาลมิตรสัมพันธ์ แรงลมทำให้ตู้น้ำหยอดเหรียญภายในโรงเรียนล้มทับแม่ค้าได้รับบาดเจ็บด้วย ขณะนี้อาการปลอดภัยแล้ว

 

เปิดทำหนังสือเดินทางเคลื่อนที่ จ.สระแก้ว 14-18 พ.ค.นี้

how-to-online-passport-IMG_1012_031

สระแก้ว – กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ ออกหน่วยให้บริการเปิดทำหนังสือเดินทางเคลื่อนที่ สำหรับประชาชนชาว จ.สระแก้ว ระหว่างวันที่ 14-18 พ.ค.นี้ 

เมื่อวันที่ 13 พ.ค.61 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ เตรียมออกหน่วยสำหรับเปิดให้บริการทำหนังสือเดินทางเคลื่อนที่หรือพาสปอร์ต ประเภทบุคคลทั่วไป แก่ประชาชนในจังหวัดสระแก้ว ที่หอประชุมอำเภออรัญประเทศ ระหว่างวันที่ 14-18 พ.ค.61 เวลา 08.00-16.30 น. เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนให้ไม่ต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปทำหนังสือเดินทางในสำนักงานหนังสือเดินทางสาขาต่าง ๆ ทั้งนี้ ไม่รวมหนังสือเดินทางทูต ราชการ และหนังสือเดินทางของพระภิกษุ

โดยผู้ที่สนใจ สามารถยื่นคำร้องขอทำหนังสือเดินทางได้ในวันและเวลาที่ระบุไว้ กรณีผู้บรรลุนิติภาวะแล้ว ให้เตรียมเอกสาร บัตรประจำตัวประชาชน ฉบับจริง ที่มีเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก ที่ยังไม่หมดอายุและไม่ถูกยกเลิก มาเป็นหลักฐาน ส่วนกรณีผู้เยาว์ อายุต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์ ให้นำบัตรประจำตัวประชาชน ฉบับจริง หรือ สูติบัตร ฉบับจริง ที่มีเลขประจำตัว 13 หลัก พร้อมสำเนาทะเบียนบ้าน บัตรประจำตัวประชาชนของบิดามารดา ฉบับจริง โดยบิดาและมารดา ต้องมาลงนามให้ความยินยอมแก้ผู้เยาว์ทั้งสองคนด้วย

อย่างไรก็ตาม สำหรับการออกหน่วยดังกล่าว ผู้ยื่นคำร้อง จะเสียค่าธรรมเนียมหนังสือเดินทาง จำนวน 1,000 บาท และค่าส่งไปรษณีย์ EMS อีกจำนวน 40 บาท โดยผู้รับบริการ จะได้รับหนังสือเดินทาง ทางไปรษณีย์ภายใน 2 สัปดาห์ สำหรับผู้ที่มีหนังสือเดินทางแล้ว แต่เหลืออายุใช้งานเพียง 6 เดือน หรือน้อยกว่า ควรขอทำหนังสือเดินทางเล่มใหม่ โดยนำหนังสือเดินทางเล่มเดิมมายกเลิกด้วย

——————————-

news3_other-20180510-091736-0

เขมรทะลักเข้าตัดอ้อยช่องอนุโลม 2,000-3,000 คนต่อวัน บอกถูกเก็บคนละ 10 บาท

S_7943031314224

สระแก้ว – แรงงานเขมรทะลักเข้าตัดอ้อยช่องอนุโลม 2,000-3,000 คนต่อวัน หลังกองกำลังบูรพาขยายเวลาเข้าออกแบบไปเช้า-เย็นกลับ อ้างถูกเก็บคนละ 10 บาทก่อนข้ามมาไทย ด้าน ผบ.ร้อย ทพ.1302 ระบุ ตรวจสอบกับ ตชด.ฝั่งกัมพูชายืนยันว่า ไม่มีการเก็บใด ๆ เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและชาวบ้านที่ประกอบอาชีพตามนโยบายของทั้งสองประเทศ

เมื่อวันที่ 12 พ.ค.61 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ช่องอนุโลมดอยเต่า บ้านทับพริก-คลองหว้า ต.ทับพริก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว มีแรงงานชาวกัมพูชา จำนวน 2,000-3,000 คน เดินทางข้ามแดนเข้ามาเพื่อรับจ้างตัดอ้อยและทำงานด้านการเกษตรในพื้นที่ อ.คลองหาด อ.อรัญประเทศ และพื้นที่ใกล้เคียงใน จ.สระแก้ว ภายหลังกองกำลังบูรพา มีคำสั่งให้ขยายเวลาห้วงการนำแรงงานเขมรจากราชอาณาจักรกัมพูชา เข้ามาตัดอ้อยในประเทศไทยในลักษณะมาเช้า-เย็นกลับ จากเดิมกำหนดไว้ห้วงเวลา 07.00-17.00 น โดยขยายเพิ่มเป็น ตั้งแต่เวลา 05.30-18.30 น.นั้น ส่งผลให้มีแรงงานเขมรทะลักเข้ามาทำงานเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะช่องเขาดอยเต่า ต.ทับพริก และช่องเขาช่องแคบ อ.คลองหาด

ทั้งนี้ ผู้ประกอบการชาวไร่รายหนึ่ง ซึ่งเดินทางไปรับแรงงานเขมรมาทำงานเกษตรในพื้นที่ แจ้งว่า แรงงานชาวกัมพูชานิยมเข้ามาลักษณะนี้มากกว่า เพราะสะดวก ได้ค่าจ้างที่สูงกว่า เช่น ตัดอ้อยได้ในราคามัดละ 3 บาท จากเดิมที่เข้ามาอยู่ในช่วงฤดูกาลได้เพียงมัดละ 2 บาท อีกทั้งต้องเสียค่าใช้จ่ายจำนวนมาก ขณะที่การเข้ามาแบบไปเช้า-เย็นกลับ เสียเงินเพียงคนละ 10 บาทจากฝั่งเขมรก่อนที่จะข้ามมายังฝั่งไทยเท่านั้น

ขณะที่ ร.ท.สมโภช จรัญยาอ่อน ผบ.ร้อย ทพ.1302 ระบุว่า ที่ผ่านมาทางฝ่ายไทยและกัมพูชามีการพัฒนาความสัมพันธ์กันมาตลอดเกือบจะทุกเดือน กรณีที่บอกว่า ต้องจ่าย 10 บาทก่อนข้ามมายังฝั่งไทยนั้น ได้ตรวจสอบไปยังฝ่าย ตชด.ที่ดูแลพื้นที่แล้ว ยืนยันว่า ไม่มีการเก็บเงิน อาจจะมีการแอบอ้างเก็บค่าใช้จ่ายโดยบุคคลอื่นได้ ซึ่งทางกัมพูชาจะได้ตรวจสอบต่อไป สำหรับฝั่งประเทศไทยนั้น เพื่อเป็นการช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกร เราทำตามนโยบายเพื่ออำนวยความสะดวก โดยผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้บังคับบัญชารับทราบทุกขั้นตอน

ผบ.ร้อย ทพ.1302 กล่าวอีกว่า ขั้นตอนการนำแรงงานเขมรเข้ามาตัดอ้อยนั้น จะมีแบบรายงาน แรงงานเข้ามาเช้า-เย็นกลับ ของจุดผ่อนผันแรงงานชาวกัมพูชาเขาดอยเต่า ให้เกษตรกรผู้ประกอบการไร่อ้อยหรือชาวไร่อื่น ๆ ได้กรอกก่อนมารับแรงงาน ซึ่งต้องกรอกชื่อ อายุ เลขบัตรประชาชน ประเภทงานเกษตร จำนวนแรงงาน เวลาเข้า-ออก และทะเบียนรถยนต์ที่มารับ เพื่ออนุญาตให้แรงงานเข้าไปในเขตพื้นที่ของหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 13 ซึ่งจะต้องมีลายเซ็นของผู้ขอรับแรงงาน , ผบ.ร้อยฯ ที่ดูแลจุด ,ผู้ร่วมตรวจสอบที่เป็น รอง สวป.สภ.คลองน้ำใส และผู้ร่วมตรวจสอบ กำนันตำบลทับพริก ก่อนนำเข้าไปในพื้นที่ ซึ่งทั้งหมดไม่มีการเรียกเก็บเงินหรือค่าธรรมเนียมใด ๆ ทั้งสิ้น

อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศตั้งแต่ช่วงเช้ามืด หลังเวลา 05.30 น.ของทุกเช้าจนถึงช่วง 08.00 น. แรงงานชาวกัมพูชาจะเตรียมเครื่องมือการเกษตร มีด พร้า กระติกน้ำ ข้าวปลาอาหาร เดินทางข้ามมายังฝั่งประเทศไทย เพื่อรอนายจ้างที่เป็นผู้ประกอบการชาวไร่อ้อย ไร่ข้าวโพดและอื่น ๆ นำรถปิกอัพและรถบรรทุก มาติดต่อรับไปทำงานจำนวนมาก ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่าช่วงที่ผ่านมาหลายเท่า หลังจากฝ่ายทหารได้อำนวยความสะดวกเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรชาวไร่อ้อยเกือบ 40,000 ไร่ ให้สามารถตัดอ้อยเข้าโรงงานได้ทันปิดหีบในช่วงปลายเดือน พ.ค.นี้

—————————–

รถตู้โดยสารสายบ้านแหลม-ฉะเชิงเทรา ชนคนเดินถนนตาย ..!!

สระแก้ว – รถตู้โดยสารสาธารณะสายบ้านแหลม-ฉะเชิงเทรา เกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชนคนเดินถนน อาการสาหัส เป็นตายเท่ากัน แพทย์ระบุเกิดภาวะสมองตาย แต่ชีพจรยังทำงานอยู่ จึงส่งตัวไปรักษาต่อที่ รพ.ในจังหวัด คนขับอ้างถนนมืดและพยายามหักหลบแล้วแต่ไม่พ้น ล่าสุด ทนพิษบาดแผลไม่ไหวเสียชีวิตระหว่างส่งต่อ รพ.

เมื่อเวลา 20.00 น.วันที่ 12 พ.ค.61 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พ.ต.ท.ไพโรจน์ นนทผ่องศรี สว.สอบสวน สภ.วังน้ำเย็น รับแจ้งว่า เกิดอุบัติเหตุรถตู้โดยสาร สายบ้านแหลม-ฉะเชิงเทรา เฉี่ยวชนคนเดินถนนบริเวณบ้านมิตรสัมพันธ์ ม.13 ต.วังน้ำเย็น อ.วังน้ำเย็น จ.สระแก้ว อาการสาหัส ทราบชื่อภายหลังว่า นายทวี นวลย้อย อายุ 39 ปี ชาวบ้านในพื้นที่เกิดเหตุ ส่วนรถตู้โดยสารตกลงไปข้างทางถนนสายสระแก้ว-จันทบุรี ซึ่งอยู่ระหว่างขยายถนนช่วงวังน้ำเย็น-วังสมบูรณ์  ชาวบ้านในพื้นที่จึงแจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจรับทราบ และเดินทางลงพื้นที่ตรวจสอบจุดเกิดเหตุร่วมกับหน่วยกู้ภัยสว่างสระแก้ว จุดวังน้ำเย็นและวังใหม่ ในการเข้าช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ ซึ่งต้องช่วยกันลากออกจากใต้ท้องรถตู้ เพื่อปั๊มหัวใจช่วยชีวิตเบื้องต้น ก่อนนำส่ง รพ.วังน้ำเย็น อย่างเร่งด่วน

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่พบรถคันเกิดเหตุ เป็นรถตู้โดยสารสาธารณะสายบ้านแหลม-ฉะเชิงเทรา หมายเลขทะเบียน 10-2321 ฉะเชิงเทรา มีนายพงษ์ศักดิ์ สุทธิประภา อายุ 54 ปี ที่อยู่บ้านเลขที่ 30 ม.6 ต.หนองพอก อ.หนองพอก จ.ร้อยเอ็ด เป็นผู้ขับขี่  ซึ่งต้องใช้เวลาประมาณ 30 นาทีในการดึงลากรถคันเกิดเหตุขึ้นจากข้างทาง พร้อมกับประสานบริษัทประกันภัย และนำตัว นายพงษ์ศักดิ์ คนขับรถตู้ ไปสอบสวนต่อที่สถานีตำรวจภูธรวังน้ำเย็นเพื่อแจ้งข้อกล่าวหาขับรถโดยประมาท ซึ่งนายพงษ์ศักดิ์ ยอมรับว่า ขับรถชนจริง แต่เนื่องจากผู้เสียหายพยายามจะเดินข้ามถนน จึงหักหลบแต่ไม่พ้น ถนนก็มืดมาก จึงชนเข้าอย่างจัง ทำให้บริเวณด้านหน้ารถตู้ด้านซ้ายพังเสียหายยับ กระจกแตกร้าว ส่วนผู้โดยสารที่มากับรถตู้ จำนวน 3 คน ปลอดภัย ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย

อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมอีกว่า สำหรับอาการของ นายทวี นวลย้อย ผู้ได้รับบาดเจ็บ แพทย์ รพ.วังน้ำเย็น ลงความเห็นว่า คนไข้มีอาการหนัก เกิดภาวะสมองตาย แต่ชีพจรยังคงทำงานอยู่ จึงส่งผู้ป่วยไปรักษาต่อที่ รพ.สมเด็จพระยุพราชสระแก้ว โดยมีบิดาของผู้บาดเจ็บติดตามเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิด

ล่าสุด เมื่อเวลา 06.00 น.วันที่ 13 พ.ค.61 ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจากผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ม.13 ต.วังน้ำเย็น อ.วังน้ำเย็น จ.สระแก้ว ว่า กรณีอุบัติเหตุรถตู้โดยสารเฉี่ยวชนลูกบ้านเมื่อคืนที่ผ่านมานั้น ขณะนี้นายทวี นวลย้อย ได้เสียชีวิตแล้ว เนื่องจากทนพิษบาดแผลไม่ไหว ระหว่างนำส่ง รพ.สมเด็จพระยุพราชสระแก้วได้เพียงครึ่งทางเท่านั้น นายไป๋ นวลย้อย บิดาของผู้เสียชีวิตได้นำร่างบุตรชายกลับมาเพื่อชันสูตร และเตรียมนำศพมาจัดพิธีทางศาสนา ที่วัดมิตรสัมพันธ์ ม.13 ต.วังน้ำเย็น อ.วังน้ำเย็น จ.สระแก้ว และแจ้งให้พนักงานสอบสวนของ สภ.วังน้ำเย็น ทราบเพื่อดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายต่อไป

—————————-

ขอบคุณภาพ/มูลนิธิกู้ภัยสว่างสระแก้ว

 

ฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าทุกตัว สุนัขจรจัดตามตลาด วัด และโรงเรียน ประมาณ 4,000 ตัว

สระแก้ว – ปศุสัตว์จับมือโรงพยาบาลและท้องถิ่น เดินหน้ารุกเข้าชุมชน รณรงค์ฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าทุกตัว แม้กระทั่งสุนัขจรจัดในชุมชน ตลาด วัด และโรงเรียน ป้องกันการแพร่ระบาดในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ

เมื่อวันที่ 13 มี.ค.61 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ศาลาเอนกประสงค์เทศบาลเมืองวังน้ำเย็น อ.วังน้ำเย็น จ.สระแก้ว เจ้าหน้าที่สำนักงานปศุสัตว์อำเภอวังน้ำเย็น ร่วมกับ โรงพยาบาลวังน้ำเย็น และสำนักงานเทศบาลเมืองวังน้ำเย็น ได้จัดกิจกรรมรณรงค์ฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า ขึ้นภายในเขตหมู่บ้านชุมชนในเขตเทศบาลเมืองวังน้ำเย็น พร้อมทั้งรณรงค์ให้ประชาชนในพื้นที่ นำสัตว์เลี้ยง ได้แก่ สุนัข แมว และสัตว์เลี้ยงอื่นๆ ที่มีภายในบ้านและชุมชนทุกตัว มาฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคพิษสุนัขบ้า โดยการรณรงค์ฉีดวัคซีนครั้งนี้ มีวิทยากรบรรยายให้ความเกี่ยวกับโรคพิษสุนัขบ้า การป้องกันและรักษา แก่กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และ อสม.ตำบลวังน้ำเย็น  ซึ่งล่าสุดขณะนี้ได้เกิดการแพร่ระบาดในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ

ทั้งนี้ นายวันชัย นารีรักษ์ นายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองวังน้ำเย็น และนายปราชญา อุ่นเพชรวรากร นายอำเภอวังน้ำเย็น ได้เดินทางไปอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนในพื้นที่เขตเทศบาล อ.วังน้ำเย็น ด้วย พร้อมกับระบุว่า ประชาชนที่มีสัตว์เลี้ยงขอให้ทยอยนำสัตว์เลี้ยงประเภทสุนัขและแมวมาฉีดวัคซีน รวมทั้งมีแผนที่จะให้ อสม.ออกไปฉีดวัคซีนให้แก่สุนัข แมว ตามบ้านเรือนประชาชนด้วย รวมทั้งสุนัขจรจัดที่อยู่ตามตลาด วัด และโรงเรียน ประมาณ  4,000 ตัวด้วย โดยคาดว่า จะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในอาทิตย์หน้า

—————————-

นายทุนกลุ่มใหญ่จ้องฮุบป่าเฉลิมพระเกียรติ ที่ราชพัสดุ ตชด.12-ศูนย์อนุรักษ์พันธุกรรมพืชฯ สมเด็จพระเทพฯ


กรณีปัญหาที่ดินและป่าอนุรักษ์ในความดูแลของกองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 12 อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ซึ่งจัดตั้งเป็นศูนย์อนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี ปัจจุบันเป็นป่าสมบูรณ์และป่าชุมชนได้ใช้ประโยชน์ร่วมกัน เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและเป็นแหล่งเรียนรู้ศึกษาธรรมชาติ ซึ่งจากการตรวจสอบต้นทางพบถูกประกาศให้เป็นที่ราชพัสดุ หลังตำรวจตระเวนชายแดนเข้าไปดูแล จนมีกลุ่มทุนใหญ่และผู้ครอบครองธุรกิจในพื้นที่ จ.สระแก้ว เล็งเห็นผลประโยชน์มหาศาล จึงนำเสนอพื้นที่ดังกล่าวผนวกเข้ากับโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษ จ.สระแก้ว โดยให้เหตุผลว่า เป็นพื้นที่ป่าเสื่อมโทรม และไม่ได้รายงานปัญหาการคัดค้านของ ตชด.และชาวในพื้นที่ให้จังหวัดและส่วนกลางทราบข้อมูล

โดยจากการตรวจสอบประวัติที่ราชพัสดุ แปลง สก.175 ที่ตั้งกองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 12 พบว่า เมื่อปี พ.ศ.2502 กก.ตชด.12 ได้ขอกันพื้นที่ว่างเปล่าในเขตป่าเขาฉกรรจ์ฝั่งเหนือ จำนวน 2,500 ไร่ เพื่อใช้เป็นที่ตั้งหน่วย เดิมมีที่ตั้งอยู่ในเขตเทศบาลอรัญประเทศ  และใช้เป็นพื้นที่ฝึกการรบในป่า, สนามยิงปืน และได้ถูกนำขึ้นเป็นที่ราชพัสดุในปี พ.ศ.2516 ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นที่ราชพัสดุ จำนวน 2,500 ไร่ จากนั้นประมาณปี พ.ศ. 2526 ทางราชการได้ตัดถนนสายอรัญฯ-บ้านป่าไร่ จึงทำให้พื้นที่ถูกแบ่งเป็น 2 แปลงคือ 1.แปลง สก.175 ที่ตั้ง กก.ตชด.12 ปัจจุบัน และ 2.แปลง สก.322 ปัจจุบันเป็นที่ตั้งกองร้อย ตชด.126

ทั้งนี้ ในปี พ.ศ.2538 กก.ตชด.12 ได้นำพื้นที่จำนวน 8 ไร่ ซึ่งปัจจุบันเป็นพื้นที่พักอาศัยของค้างคาวแม่ไก่ จัดทำและน้อมเกล้าน้อมกระหม่อม ถวายเป็นโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โดยได้รับงบประมาณจากสำนักงานโครงการอนุรักษ์ฯ ทุก ๆ ปี และเนื่องจากพื้นที่ป่าในที่ราชพัสดุเดิม ประชาชนได้เข้าไปตัดไม้ไปใช้ประโยชน์เป็นไม้ฟืนหรือเผาถ่าน แต่หลังจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้ทรงเห็นว่า ป่าไม้และความหลากหลายของประเทศลดน้อยลง จึงทรงมีพระราชประสงค์ให้หน่วยงานต่าง ๆ ช่วยกันดูแลรักษาป่าทั้งผืนร่วมกัน ทาง กก.ตชด.12 จึงได้ห้ามมิให้ประชาชนเข้าไปตัดไม้ทำลายป่าอีก และช่วยกันปลูกป่าเสริมในบางแห่งตามโครงการปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติเรื่อยมาเกือบทุก ๆ ปี

กระทั่งเวลาผ่านไปเกือบ 20 ปี ในปี พ.ศ.2557 กก.ตชด.12 ได้เล็งเห็นว่า ป่าไม้ในพื้นที่กลับมามีความอุดมสมบูรณ์มากขึ้น มีความหลากหลาย ประกอบด้วย ป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรัง มีพืชชั้นกลาง พืชชั้นล่าง พืชมีหัวใต้ดิน พืชอาหาร และพืชสมุนไพรชนิดต่าง ๆ อีกทั้งยังพบว่า มีสัตว์ป่าขนาดเล็ก เช่น อีเห็น ไก่ป่า กระรอกกระแต บ่าง ค้างคาวแม่ไก่ สัตว์เลื้อยคลาน เช่น ตะกวด แย้ นกชนิดต่าง ๆ จึงเห็นควรขยายพื้นที่โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริสมเด็จพระเทพฯ เพิ่มขึ้นเป็น 1,100 ไร่ โดยนำขึ้นทูลเกล้าฯ และมีเจ้าหน้าที่จากส่วนกลางลงมาตรวจพื้นที่แล้ว

แต่ปรากฏว่า ปีนั้นรัฐบาลได้ประกาศให้พื้นที่ราชพัสดุแปลง สก.175 และ สก.322 รวมกัน จำนวน 1,365 ไร่ เป็นพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ โดยรับฟังเฉพาะรายงานของหน่วยงานบางหน่วย ซึ่งระบุว่า พื้นที่ทั้งหมดเป็นป่าเสื่อมโทรม ซึ่งขัดกับความเป็นจริงชัดเจน ส่งผลให้สภาองค์กรชุมชนเทศบาลตำบลบ้านใหม่หนองไทร ประมาณ 20 คนได้ทำหนังสือ พร้อมรายชื่อประชาชนในเขตตำบลบ้านใหม่ฯ และตำบลใกล้เคียงกว่า 1,000 คน เข้ายื่นต่อ พ.ต.อ.สมชาย สุวจสุวรรณ ผกก.ตชด.12 เพื่อคัดค้านและทำหนังสือฎีกาในช่วงที่นายภัครธรณ์ เทียนไชย เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว มีการลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบปัญหาระยะหนึ่ง แต่การแก้ไขปัญหากลับถูกปกปิดเงียบ

ขณะนั้นสภาองค์กรชุมชนฯ และประชาชน ไม่เห็นด้วยที่จะนำป่าไม้ในที่ราชพัสดุ ซึ่ง กก.ตชด.12 ดูแลใช้ประโยชน์ ไปเป็นพื้นที่พัฒนาในเขตเศรษฐกิจพิเศษ เพราะเป็นพื้นที่ป่าไม้แห่งเดียวที่อยู่คู่ชุมชน ทำให้ชุมชนมีสิ่งแวดล้อมที่ดี และ กก.ตชด.12 ยังได้อนุญาตให้ประชาชนสามารถเข้าไปเก็บพวกผักหวานป่า, เห็ดชนิดต่าง ๆ ได้ ควบคู่ไปกับการอนุรักษ์ โดยต้องไม่ทำความเสียหายให้กับผืนป่าและห้ามล่าสัตว์

ภายหลังสภาองค์กรชุมชนฯ ได้ดำเนินการถวายฎีกาต่อสำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชฯ ซึ่งต่อมาสำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริฯ ได้ส่งผู้แทนมาเยี่ยมดูพื้นที่ และได้แนะนำว่า ให้เร่งดำเนินการพัฒนาใช้ประโยชน์จากป่า อย่าให้ป่าหยุดนิ่ง ซึ่งในปีงบประมาณ พ.ศ.2561-2562 กก.ตชด.12 ได้รับงบประมาณจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติในการดำเนินการพัฒนาพื้นที่โครงการอนุรักษ์ฯ โดยการจัดทำถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก, ถนนลูกรังรอบพื้นที่ และเส้นทางศึกษาธรรมชาติ เพื่อความสะดวกในการลาดตระเวนป้องกันการลักลอบตัดไม้ ล่าสัตว์ ป้องกันไฟป่า และความสะดวกสำหรับเด็ก เยาวชน ลูกเสือ-เนตรนารี ประชาชนทั่วไปที่มาเข้าค่ายอบรม ใช้เดินป่าศึกษาธรรมชาติ สร้างจิตสำนึกในการอนุรักษ์ให้ยั่งยืน

ปัจจุบัน พื้นที่ป่าซึ่ง กก.ตชด.12 ดูแลฝั่งขวา ถูกนำไปก่อสร้างเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษแล้วจำนวน 600 ไร่ โดยมีกลุ่มทุนใหญ่ในจังหวัดสระแก้ว เข้าประมูลป่าทั้งแปลงในราคาเพียง 2 ล้านบาทเท่านั้น  ล่าสุด มีการขีดเส้นและเปลี่ยนสีผังเมืองใหม่ ภายหลังมีการประกาศให้พื้นที่ ต.ป่าไร่ เป็นเขตอุตสาหกรรม(สีม่วง) ในแปลงที่ดินของ กก.ตชด.12 เดิม แปลง สก.322 และ ขีดเส้นเพิ่ม แบ่งป่าสมบูรณ์ในโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริฯ เป็นพื้นที่สีม่วงอีกแปลง จากที่ดินแปลง สก.175 เนื้อที่ 1,100 ไร่ ที่ตั้ง กก.ตชด.12 เนื้อที่ประมาณ 500 กว่าไร่ เพื่อดำเนินการโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษดังกล่าว โดยกลุ่มทุนใหญ่กลุ่มเดิมเตรียมเข้าประมูลป่าทั้งแปลงในราคาใกล้เคียงกัน

อย่างไรก็ตาม จังหวัดสระแก้วโดยมีรองผู้ว่าราชการจังหวัด ได้เรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหารือกรณี กอ.รมน.จากส่วนกลาง ส่งเจ้าหน้าที่ทหารเข้าเก็บข้อมูล ภายหลังได้รับการร้องเรียน โดยให้มีการชี้แจงที่มาและแนวทางการดำเนินการเกี่ยวกับปัญหาที่ดินดังกล่าว ซึ่งล่าสุด วานนี้ (12 มี.ค.61) นายพรพจน์ เพ็ญพาส ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว ได้เรียกส่วนที่เกี่ยวข้องเข้าหารือปัญหานี้อีก ซึ่งสิ่งที่น่าตกใจที่สุด คือ มีบุคคลบางกลุ่ม บางหน่วย กำลังถูกครอบงำ ทั้งที่ข้อมูลพื้นที่บ่งชี้ชัดเจนว่า เป็นป่าไม้แห่งเดียวที่อยู่คู่ชุมชน เป็นแหล่งเรียนรู้ศึกษาธรรมชาติ อีกทั้งช่วยให้พื้นที่ซึ่งกำลังจะกลายเป็นแหล่งอุตสาหกรรมมีสิ่งแวดล้อมที่ดี สมควรอนุรักษ์ตามแนวพระราชดำริ แต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกลับปล่อยให้มีความพยายามเข้าไปทำลายป่า โดยไม่ฟังเสียงใด ๆ จากชุมชน
—————————

บุกตรวจค้นโกดังตลาดโรงเกลือ ยึดสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์จำนวนมาก

สระแก้ว – เมื่อวันที่ 5 ก.พ.61 ผู้ิสื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่หน่วยความมั่นคงในพื้นที่ จ.สระแก้ว กว่า 100 นาย บูรณาการร่วมกับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 12, ตม.สระแก้ว ,ศุลกากรอรัญประเทศ, ตำรวจท่องเที่ยว และฝ่ายปกครอง เข้าตรวจสอบสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ ในโกดังพลอยไพลิน หมู่ 7 ต.ป่าไร่ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ตั้งแต่ช่วงบ่ายเป็นต้นมา พบสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์จำนวนมาก อาทิ ชุดผ้าปูที่นอนลาย แมนเชสเตอร์ยูไนเตด, ลายการ์ตูนโดเรม่อน, ลายคิตตี้ และอื่นๆ  นำใส่ถุงเก็บซุกซ่อนไว้ในโกดัง หมายเลข C1, C2, B2 และ J2 แต่ไม่สามารถติดต่อเจ้าของห้องเช่าดังกล่าวได้ เจ้าหน้าที่จึงอายัดสินค้าในโกดังไว้ เพื่อดำเนินการตามกฎหมาย คาดว่า เจ้าหน้าที่ทหารจะต้องใช้เวลาจนถึงค่ำ กว่าจะขนย้ายของกลางได้ทั้งหมด เนื่องจากมีอยู่เป็นจำนวนมาก

————————————-

สั่งปิดโรงงานกำจัดกากอุตสาหกรรมและขยะพิษหลังเกิดเพลิงไหม้..!!

สระแก้ว – เกิดเหตุไฟไหม้โรงงานกำจัดกากอุตสาหกรรมและขยะพิษ ในพื้นที่ อ.วัฒนานคร จ.สระแก้ว รถแบคโฮเสียหาย 1 คัน อุตสาหกรรมสั่งปิดโรงงานชั่วคราวบางส่วน

เมื่อวันที่ 24 ธ.ค.60 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่โรงงานกำจัดขยะพิษและกากอุตสาหกรรม ต.โนนหมากเค็ง อ.วัฒนานคร จ.สระแก้ว ได้เกิดเพลิงไหม้เนื่องจากเกิดปฏิกิริยาเคมี ในอาคารปรับเสถียร ของบริษัทกำจัดขยะโปรเวส ต.โนนหมากเค็ง  อ.วัฒนานคร ส่งผลให้ต้องระดมเจ้าหน้าที่จากหลายพื้นที่เข้าร่วมระงับเหตุ  ทั้งนี้ นายพรพจน์ เพ็ญพาส ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว หลังได้รับแจ้งเหตุ ได้สั่งการให้  นายอําเภอวัฒนานคร  รักษาการป้องกันจังหวัด  ปลัดป้องกันอำเภอวัฒนานคร และกำนันตำบลโนนหมากเค็ง  เข้าไปตรวจสอบและอำนวยการดับเพลิงทันที

ทั้งนี้ มีรายงานว่า มีรถดับเพลิงจากเทศบาลวัฒนานคร, องค์การบริหารส่วนตำบลห้วยโจดเข้าร่วมดับเพลิงจนเพลิงสงบลง ซึ่งพบมีรถแบคโฮ ของโรงงานได้รับความเสียหายจำนวน 1  คัน ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต ส่วนความเสียหายอื่นๆ อยู่ระหว่างตรวจสอบ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจกองพิสูจน์หลักฐานได้เดินทางเข้ามาตรวจสอบสาเหตุของเพลิงไหม้ครั้งนี้ด้วย สำหรับโรงงานกำจัดขยะพิษและกากอุตสาหกรรมแห่งนี้ถือว่า เป็น 1 ใน 3 แห่งของโรงงานกำจัดขยะพิษและกากอุตสาหกรรมที่มีอยู่ในประเทศไทยด้วย

นายพรพจน์ เพ็ญพาส ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว ระบุว่า กรณีนี้ถือเป็นอุบัติเหตุ แต่ต้องจัดการตาม พรบ.โรงงานอย่างเด็ดขาด เพราะจุดที่เกิดเพลิงไหม้เป็นขยะพิษ รวมทั้ง นายชวลิต ชัยนิวัฒนา อุตสาหกรรมจังหวัดสระแก้ว ได้ทำหนังสือรายงานเหตุการณ์ภาวะฉุกเฉินเบื้องต้นว่า กรณีนี้เป็นอุบัติเหตุ เหตุเกิดเมื่อเวลา 11.05 น.ของวันที่ 23 ธ.ค.60 ซึ่งได้เกิดเพลิงไหม้ในอาคารปรับเสถียร มีรถแบคโฮและอาคารบางส่วนได้รับความเสียหาย คาดว่า น่าจะเกิดจากสารเคมีในอาคารปรับเสถียรลุกไหม้ก่อนดำเนินการปรับเสถียร  อย่างไรก็ตาม สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดสระแก้ว จะดำเนินการสั่งหยุดการประกอบกิจการโรงงานบางส่วน (อาคารปรับเสถียร) ตามมาตรา 39 แห่ง พรบ.โรงงาน พ.ศ.2535
——————————